จาก Blockchain สู่ Smart Contract สัญญาอัจฉริยะที่จะมาเปลี่ยนการใช้ชีวิตของเราในอนาคต
ข้อมูลธุรกรรมของทุกคนในหนึ่งครั้งจะถูกรวมเป็น Block และเชื่อมโยงกับ Block ใหม่เมื่อมีการทำธุรกรรมครั้งถัดไปเป็นลูกโซ่ โดยข้อมูลแต่ะละ Block จะถูกเก็บอย่างถาวร ทำให้เราเรียกมาตรวจสอบได้เสมอ
แต่ละ Block จะประกอบด้วย
Hash แต่ละอันจะถูกร้อยเรียงเป็นลูกโซ่ ทำให้หากต้องการแก้ไขข้อมูลใน Block เราจะต้องแก้ไข Hash ของทุก Block ที่อยู่ในห่วงโซ่ หากไม่แก้ไขทั้งหมดจะทำให้ตัว Block นั้นหลุดจากห่วงโซ่ และคนอื่น ๆ ใน Blockchain จะรู้ว่าใครโกงและตรวจสอบได้ทันที
ดังนั้นการจะแก้ไข Blockchain นั้นทำได้ยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะต้องเสียทั้งเวลา และทรัพยากรเป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นแค่ข้อเสียสำหรับ Hacker หรือคนที่ต้องการจะโกงเท่านั้น แต่ก็เป็นข้อเสียสำหรับผู้ใช้คนอื่น ๆ เช่นกัน เพราะกว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอนเพื่อบันทึกข้อมูลนั้นต้องใช้เวลาในการประมวลผลที่นานกว่าระบบอัตโนมัติที่มีใช้กันอยู่ก่อนหน้า
เทคโนโลยี Blockchain เป็นเทคโนยีที่มีความปลอดภัยสูง โดยมีจุดเด่นคือให้ผู้ใช้แต่ละคนตรวจสอบกันเอง ทั้งยังมีระบบป้องกันการแก้ไขที่รัดกุมมาก นำมาซึ่งการทำ Smart Contract ที่จะมาช่วยทำธุรกรรมอื่น ๆ ภายใต้ข้อตกลงและเงื่อนไขจากการเขียนโปรแกรม ตรวจสอบว่าธุรกรรมที่ทำนั้นเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่ด้วยตัวของมันเองได้ โดยไม่ต้องผ่าน “ตัวกลาง”
ปัจจุบันมีการนำ Smart Contract มาใช้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมโยงเอกสารค้ำประการของคู่ค้า (เพื่อลดเวลาขั้นตอนเอกสารและค่าใช้จ่าย ซึ่งผลการใช้งานจากธนาคารแห่งหนึ่งพบว่าช่วยลดเวลาจาก 24 ชม. เป็น 30 นาที และลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า) การติดตามผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทางเพื่อเพิ่มมูลค่าและความน่าเชื่อ การประมูล NFT การตรวจสอบสินค้าว่าเป็นของแท้หรือไม่ เป็นต้น โดยการทำงานของระบบ Blockchain จะทำงานผ่าน คิวอาร์โค้ด บาร์โค้ด หรือการระบุเอกลักษณ์ด้วยคลื่นวิทยุ (RFID)
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าโลกเสมือนและโลกจริงทับซ้อนกันเกือบจะสนิทขึ้นทุกที ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องรู้จักกระแสโลกที่เปลี่ยนไป เพื่อนำไปตัดสินใจและใช้ชีวิตในโลกแห่งนี้ได้ดีและสมดุลยิ่งขึ้น
TAGS :
#NagasDigital #mataverse #Blockchain #Smartcontract #AR #AR #ข่าวสารเทคโนโลยี #ข่าวสารARVR